ISRAEL LAND OF GOD อิสราเอล 7 วัน 4 คืน โดยสายการบินแอล อัล อิสราเอลแอร์ไลน์ (LY)

สถานที่ทัวร์:
ประเทศอิสราเอล Israel อิสราเอล Israel
ระยะเวลา:
7 วัน
ราคาเริ่มต้น:
฿0
สายการบิน
EL AL

ISRAEL LAND OF GOD อิสราเอล 7 วัน 4 คืน โดยสายการบินแอล อัล อิสราเอลแอร์ไลน์ (LY)7 วัน 4 คืน

฿0

BKK-TLV

ออกจากBKK
23.00
ถึงTLV
06.05+1

TLV-BKK

ออกจากTLV
22.45
ถึงBKK
14.00+1

โปรแกรม 7 วัน 4 คืน : เดินทางโดยสายการบินEL AL

20.30 น.
คณะพร้อมกัน ณ สนามบินสุวรรณภูมิ อาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ เคาน์เตอร์สายการบินแอล อัล อิสราเอลแอร์ไลน์ ประตู 10 แถว W พบเจ้าหน้าที่คอยอำนวยความสะดวก
23.55 น.
ออกเดินทางสู่เมืองเทล อาวีฟ ประเทศอิสราเอล โดยสายการบินแอล อัล อิสราเอลแอร์ไลน์ (LY) เที่ยวบินที่ LY 082

06.15 น.
เดินทางถึงสนามบินนานาชาติเบนกูเรียล เมืองเทลอาวีฟ (Tel Aviv) ประเทศอิสราเอล (Israel) (เวลาท้องถิ่นช้ากว่าประเทศไทย 4 ชั่วโมง) เมืองเทล อาวีฟ ซึ่งเป็นเมืองหลวงและเป็นเมืองใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ของประเทศอิสราเอล มีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 405,000 คน ตั้งอยู่ริมฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เป็นเมืองศูนย์กลางการค้า เศรษฐกิจ พาณิชย์และการท่องเที่ยว นำท่านผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมือง และด่านศุลกากร นำท่านเดินทางต่อไปยังทางเหนือสู่เมืองเซซาเรีย (Caesarea) ซึ่งเป็นเมืองเก่ายุคสมัยสงครามครูเสด สร้างโดยกษัตริย์เฮโรดมหาราช เป็นเมืองชายฝั่งริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่สวยงามและมีความสำคัญเป็นอันดับ 3 ของประเทศ นำท่านชมเมืองท่าเก่าแก่โบราณสมัยโรมัน สนามแข่งม้าฮิปโปโดรม ชมเสาหินโบราณโรมันและโรงละครโรมันกลางแจ้งมีการออกแบบตามมาตรฐานโรมัน ชมคลองส่งน้ำ (Aquaduct) ที่มีอายุกว่า 2,000 ปี กษัตริย์เฮโรดมหาราชได้สั่งให้สร้างท่อระบายน้ำระหว่างมหาสมุทรและน้ำบาดาลในเมือง ช่วยให้ประชาชนมีน้ำกินน้ำใช้ได้ จากนั้นนำท่านเดินทางต่อไปยังเมืองไฮฟา (Haifa) ที่ตั้งอยู่บนยอดเขาคาร์เมล (Mt.Carmel) ซึ่งเป็นเมืองศูนย์กลางของเขตไฮฟาที่อยู่ทางด้านเหนือและอยู่ติดกับริมทะเล เป็นแหล่งโรงงานอุตสาหกรรม เป็นเมืองอันดับที่สามของประเทศ เป็นเมืองขนาดใหญ่ที่สุดทางตอนเหนือของอิสราเอล มีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 270,000 คน ซึ่งผสมผสานกันระหว่างพวกยิวและอาหรับ นอกจากนี้ยังเป็นที่ตั้งของศูนย์กลางของศาสนาบาไฮหรือ บาไฮเวิลด์เซ็นเตอร์ ที่ถูกสร้างเป็นสวนที่สวยงามด้วยงบประมาณ 50 ล้านดอลล่าร์และยังได้ถูกจัดให้เป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโกในปี ค.ศ. 2008
กลางวัน
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร
บ่าย
นำท่านเดินทางสู่เมืองอัคโค (Akko) หรือเมืองเอเคอร์ (Acre) ซึ่งเป็นที่ตั้งมั่นสุดท้ายของนักรบครูเสด นำท่านชมเมืองเก่าที่ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกเมื่อปี 2001 เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกของบริเวณกาลิลีทางตอนเหนือของอิสราเอล ตัวเมืองตั้งอยู่บนแหละหรือแผ่นดินที่ยื่นออกไปในทะเลของอ่าวไฮฟา เมืองนี้เป็นเมืองสำคัญทางยุทธศาสตร์ของการรบ เพราะมีที่ตั้งอยู่ริมทะเล มีการรบกันหลายครั้ง จนมีการเปลี่ยนผู้ครอบครองนครมาหลายรอบ ทำให้เมืองนี้มีร่องรอยและวัฒนธรรมที่ผสมผสานมากมาย จากนั้นนำท่านเดินทางต่อไปยังเมืองนาซาเร็ธ (Nazareth) ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างภูเขาที่รวมตัวกันเป็นจุดใต้สุดของเทือกเขาเลบานอนแคว้นกาลิลี เป็นเมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นบ้านเกิดของพระเยซูคริสต์และเป็นสถานที่ในการเดินทางแสวงบุญของชาวคริสต์
ค่ำ
รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร
ที่พัก
เดินทางเข้าสู่ที่พัก PLAZA NAZARETH HOTEL หรือเทียบเท่า

เช้า
รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารโรงแรม


นำท่านชมมหาวิหารแห่งการประกาศข่าว (Basilica of the Annunciation) ซึ่งถูกสร้างไว้ตรงบ้านพระนางมารีอา เป็นสถานที่ซึ่งนางมารีได้รับแจ้งจากทูตสวรรค์ว่าพระนางจะให้กำเนิดพระเยซู หลังจากนั้นนำท่านเดินต่อไปยังบ่อน้ำที่มีอายุนานกว่า 2,000 ปี เป็นสถานที่ที่พระนางมารีได้เคยมาตักน้ำจากแห่งนี้เอาไปใช้ในชีวิตประจำวัน จากนั้นนำท่านเดินทางไปยังหมู่บ้านคานา (Cana Village) เป็นหมู่บ้านที่ซึ่งพระเยซูทรงแสดงอัศจรรย์เป็นครั้งแรกในงานแต่งงาน ซึ่งมีพระแม่มารีมาร่วมงานด้วย โดยทรงทำน้ำให้เป็นเหล้าองุ่น เนื่องจากเหล้าองุ่นไม่พอที่จะเลี้ยงแขกที่มาในงาน
กลางวัน
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารอาหารพื้นเมือง
บ่าย
นำท่านเดินทางสู่ริมแม่น้ำจอร์แดน (Jordan River) ซึ่งเป็นสถานที่ทำพิธีบัพติศมาในน้ำ (Baptismal Site of Yardenit) ซึ่งสาวกจอห์นได้ทำพิธีล้างบาป และได้ตั้งชื่อให้ กับพระเยซู ท่านสามารถรับบัพติศมาเพื่อเป็นการระลึกถึง หรือสำหรับผู้ที่เพิ่งตัดสินใจรับบัพติศมา (หากท่านใดสนใจกรุณาติดต่อผู้นำทัวร์ เพื่อประสานงานกับศิษยาภิบาลที่นำคณะ สำหรับการใช้เสื้อคลุม และขอใบประกาศนียบัตร) จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ ทะเลเดดซี (Dead Sea) ซึ่งเป็นทะเลที่ถูกบันทึกลงใน กินเนสส์บุ๊ค ว่า เป็นจุดที่ต่ำที่สุดในโลก มีความต่ำกว่าระดับน้ำทะเลถึง 400 เมตร และ มีความเค็มที่สุดในโลกมากกว่า 20 เปอร์เซนต์ของน้ำทะเลทั่วไป ทำให้ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดเลยอาศัยอยู่ได้ในท้องทะเลแห่งนี้ ให้ท่านอิสระในการลงเล่นน้ำทะเล หมักโคลน และพิสูจน์ความจริงว่าสามารถลอยตัวได้จริงหรือไม่ (การลงเล่นน้ำในทะเลมีวิธีขั้นตอนการลงเล่น และข้อควรระวังต่างๆ ควรฟังคำแนะนำจากมัคคุเทศก์ท้องถิ่น) (กรุณาเตรียมชุดเล่นน้ำ ผ้าเช็ดตัวรองเท้าฟองน้ำไปด้วย) ได้เวลาพอสมควร นำท่านออกเดินทางไปยัง เมืองเยรูซาเลม(Jerusalem) จากนั้นนำท่านเข้าสู่ที่พัก
ค่ำ
รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร
ที่พัก
นำท่านเดินทางเข้าสู่ที่พัก LEONARDO JERUSALEM หรือเทียบเท่า

เช้า
รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารโรงแรม


นำท่านเดินทางสู่ ยอดเขาโอลีฟ (Mt. of Olives) ท่านจะได้ชมตัวเมืองเยรูซาเล็มทั้งหมด จากนั้นนำท่านเดินตามเส้นทางที่พระเยซูเสด็จสู่กรุงเยรูซาเล็มในวันปาล์มซันเดย์ไปยังโบสถ์ปีเตอร์ โนสเตอร์ (Peter Noster Church) เป็นสถานที่พระเยซูทรงสอนให้สาวกรู้จักคำอธิษฐาน “ข้าแต่พระบิดาแห่งข้าพระองค์ทั้งหลาย” นำท่านเดินทางไปยังสวนเกทเสมนี (Gatsemane) ซึ่งเป็นภาษาฮิบรูว์ แปลว่า ต้นมะกอก บริเวณสวนนี้มีต้นมะกอกเก่าแก่อยู่ 8 ต้น ที่เชื่อกันว่าเป็นรากเดิมของต้นมะกอกในสมัยพระเยซูเจ้า ซึ่งมีอายุประมาณ 2,000 ปี และเป็นสถานที่ที่พระเยซูอธิษฐานกับสาวก ก่อนที่จะถูกพวกทหารโรมันจับตัวไป จากนั้นนำท่านเข้าชมในตัวโบสถ์นานาชาติ (Church of all Nations) ที่มีก้อนหินขนาดใหญ่ที่เชื่อว่าเป็นจุดที่พระเยซูทรงคุกเข่าอธิษฐาน ก่อนถูกทหารโรมันจับตัวไป
กลางวัน
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร
บ่าย
หลังจากนั้น นำท่านเดินทางสู่ภูเขาไซออน (Mount Zion) ซึ่งอยู่ทางด้านตะวันตกของภูเขาโอลีฟในเยรูซาเล็ม ซึ่งมีชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า เมืองของเดวิด (City of David) จากนั้นนำท่านไปชม โบสถ์ไก่ขัน (St. Peter in Gallicantu) ซึ่งเป็นภาษาลาติน ในอดีตเป็นบ้านของปุโรหิตคายาฟาส ที่เป็นหัวหน้าสมณะในยุคของพระเยซูที่ถูกตัดสินฯ และเป็นสถานที่ที่ปีเตอร์ปฏิเสธพระเยซูก่อนไก่ขัน 3 ครั้ง (Before the cock crows thrice) จากนั้นนำท่านไปชมสุสานกษัตริย์เดวิด (King David’s Tomb) และ ห้องอาหารมื้อสุดท้าย (Room of Last Supper) ที่พระเยซูทรงร่วมรับประทานอาหารมื้อสุดท้ายกับเหล่าสาวกก่อนที่จะถูกจับตัวไป จากนั้นนำท่านออกเดินทางสู่เมืองอีน คาเร็ม (Ein Karem) ที่มีความหมายว่า น้ำธรรมชาติสำหรับไร่องุ่น อยู่ทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ของเยรูซาเล็ม และเป็นเมืองที่มีความสำคัญรองลงมาจากเบธเลเฮ็ม คือ เมืองที่จอห์นแห่งแบพติสเกิดและนอกจากนั้นก็ยังมีโบสถ์วิหารที่มีความสำคัญหลายแห่งสำหรับผู้ที่เป็นชาว คริสเตียน ให้ท่านได้ชมอนุสรณ์สถานยาด วาเช็ม (Yad Vashem) ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงชาวยิวที่เสียชีวิตในระหว่างสงครามโลก รูปภาพต่างๆ ที่ถ่ายจากค่ายกักกันต่างๆ ในยุโรป แสดงให้เห็นถึงความโหดร้ายของทหารนาซี ในความพยายามทำลายล้างเผ่าพันธุ์ของชนชาติยิว ซึ่งเป็นชนชาติของพระเจ้า ทำให้ตระหนักถึงพระสัญญาของพระเจ้าต่ออับราฮัมที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
ค่ำ
รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร
ที่พัก
นำท่านเดินทางเข้าสู่ที่พัก LEONARDO JERUSALEM หรือเทียบเท่า

เช้า
รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารโรงแรม


นำท่านออกเดินทางไปยัง เมืองเจริโก้ (Jericho) ที่ตั้งอยู่ทางด้านตะวันออกในเขตเวสท์แบงค์ และอยู่ทางเหนือของทะเลสาบเดดซี มีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 20,000 คน ซึ่งส่วนมากจะเป็นชาวอาหรับปาเลสไตน์ เจริโกได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ในอดีตได้มีหลักฐานที่ถูกพบว่ามีคนมาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่บริเวณนี้มาแล้วประมาณกว่า 9,000 ปีก่อนคริสตกาล จากนั้นนำท่าน นั่งกระเช้าไฟฟ้าขึ้นสู่ภูเขาเทมพ์เทชั่น (Mt. of Temptation) ซึ่งมีความสูงประมาณ 350 เมตรจากระดับน้ำทะเล ณ สถานที่แห่งนี้จะมีถ้ำซึ่งเป็นที่ที่พระเยซู ได้เคยมานั่งวิปัสสนาและอดอาหารเป็นเวลา 40 วัน และ 40 คืน ในระหว่างนั้นก็มีพวกซาตานมารบกวนพระองค์ นำท่านชมโบสถ์เทมพ์เทชั่น (Temptation Monastery) ได้เวลาสมควรนำท่านเดินทางลงจากเขา จากนั้นนำท่านเดินทางไปยังเมืองเบธเลเฮม (Bethlehem) ซึ่งเป็นดินแดนที่เก่าแก่ และถูกครอบครองโดยพวกปาเลสไตน์ ตั้งอยู่ห่างจากเยรูซาเล็มทางตอนใต้ ประมาณ 10 กม. มีประชากรราว 30,000 คน ในอดีตเป็นบ้านเกิดของกษัตริย์เดวิด (King David) ซึ่งเป็นผู้สร้างเมืองเยรูซาเล็ม และ เบธเลเฮม เชื่อกันโดยผู้นับถือคริสต์ศาสนาว่าเป็นที่ประสูติของพระเยซูแห่งนาซาเร็ธ และยังเป็นที่อยู่ของชุมชนคริสเตียนที่เก่าแก่ที่สุดในโลก นำท่านเดินทางสู่โบสถ์แห่งการประสูติ (The Church of Nativity) โบสถ์ที่สร้างบนสถานที่ประสูติของพระเยซู ถูกสร้างโดย พระนางเฮเลน่า (Helena) ซึ่งเป็นพระมารดาของจักรพรรดิคอนสแตนตินแห่งจักรวรรดิไบแซนไทน์ เป็นสถานที่ที่ถูกเก็บรักษาให้รอดพ้นจากการถูกทำลายจากผู้ครอบครองของหลายชาติได้อย่างน่าอัศจรรย์ ซึ่งประตูทางเข้าโบสถ์นี้จะเล็กกว่าปกติ และผิดสัดส่วนจากขนาดของตัวอาคาร เพราะว่าภายหลังดินแดนแห่งนี้ถูกครอบครองโดยพวกครูเสดก็ได้มีการต่อเติม และทำประตูให้มีขนาดเล็กลงสำหรับคนต้องก้มเดินเข้าไปได้เพียงคนเดียว เพื่อเป็นการป้องกันมิให้พวกโจรอาหรับขี่ม้าเข้ามาปล้น ภายในโบสถ์มีสถาปัตยกรรมที่สวยงาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่ทางเดินที่ประดับลวดลายของโมเสค และภาพสีน้ำมันตามผนังตลอดจนเพดาน จากนั้นนำท่านเดินทางไปยังทุ่งหญ้าคนเลี้ยงแกะ (Shepherd’s Field) ที่ทูตสวรรค์มาบอกข่าวการประสูติของพระเยซูท่ามกลางคนเลี้ยงแกะที่ยากจนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเป็นพวกแรกที่ได้รับข่าวการประสูตินี้
กลางวัน
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร
บ่าย
จากนั้นนำท่านเดินทางต่อไปยังเมืองเยรูซาเลม (Jerusalem) เมืองที่อยู่ร่วมกันอย่างลงตัวทั้งชาวยิว,ชาวมุสลิม และ คริสเตียน ตั้งอยู่บนที่ราบของภูเขายูดาห์ (Judaean Mountains) ระหว่างทะเลเมดิเตอร์เรเนียนกับทะเลเดดซี เยรูซาเลมเป็นเมืองที่พระยาห์เวห์ (Yahweh) ทรงเลือกสรรไว้ให้เป็นป้อมแห่งความเชื่อถึงพระเป็นเจ้าแต่เพียงองค์เดียว เป็นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของอิสราเอล นำท่านเดินทางสู่เมืองเก่าเยรูซาเลม (Old City) ให้ท่านได้ชมกำแพงร้องไห้ (Wailing Wall) ซึ่งเป็นกำแพงด้านตะวันตกของพระวิหารหลังที่สองที่เหลืออยู่หลังจากถูกพวกโรมันทำลาย ปัจจุบันชาวยิวทั่วโลกถือว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด และโดยเฉพาะวันสำคัญทางศาสนา จะมีชาวยิวมากมายเดินทางมาสวดมนต์ อธิษฐานร้องไห้คร่ำครวญกับพระเจ้าอย่างเนืองแน่น และจากลานหน้ากำแพงศักดิ์สิทธิ์นี้ จะมีทางเดินเลาะเลียบทางขวาที่ไต่ระดับสูงขึ้นไปสู่ภูเขาวิหาร(Temple Mount ) อันเป็นที่ตั้งของมหาวิหาร ที่ได้ถูกทำลายไปถึง 2 ครั้ง จะเหลืออยู่ก็แค่บางส่วนของกำแพง ซึ่งในปัจจุบันภูเขาวิหาร เป็นที่ตั้งของศาสนสถานที่ศักดิ์สิทธ์ของศาสนาอิสลาม เพราะว่าในช่วงปี ค.ศ. 688 กาหลิบโอมาร์ ที่เป็นผู้นำชาวมุสลิม ได้นิมิตประหลาดว่าภูเขาวิหารนี้เป็นสถานที่ที่ศาสดาโมหะหมัดได้เสด็จสู่สวรรค์ โดยประทับยืนบนก้อนหินก้อนหนึ่ง ซึ่งต่อมาเชื่อว่าเป็นก้อนหินศักดิ์สิทธิ์ ส่วนชาวคริสต์เชื่อว่า พระเยซูได้ถูกซาตานนำมาประทับบนก้อนหินนี้ เพื่อให้ทอดพระเนตรนครเยรูซาเล็ม ในขณะที่จำศีลอดอาหาร และชาวยิวเชื่อว่า อับราฮัมได้นำลูกชายมาฆ่า เพื่อบูชาพระเจ้าบนก้อนหินก้อนนี้ ต่อมาจึงได้สร้างสุเหร่าไม้ขึ้นบนยอดเขาแห่งนี้ โดยคร่อมก้อนหินศักดิ์สิทธิ์นี้ไว้ ซึ่งเรียกว่า สุเหร่าแห่งโอมาร์ (Mosque of Omar) แต่ปัจจุบันนี้ได้ถูกสร้างเป็นสุเหร่าทรง 8 เหลี่ยมที่มีหลังคาทรงกลม ทำด้วยทองบริสุทธ์ 24 กระรัต โดยได้รับความช่วยเหลือจากกษัตริย์ฮุสเซนแห่งจอร์แดน และมีชื่อเรียกว่า โดมแห่งหินผา (Dome of the Rock) และบริเวณผนังด้านในประดับด้วยโมเสคลวดลายงดงามมาก (ไม่สามารถเข้าไปชมภายในได้ ) จากนั้นนำท่านเดินเท้าไปตามถนนเวีย โดโลโรซ่า (Via Dolorosa) เป็นสถานที่ซึ่งทิ้งร่องรอยสุดท้ายของพระเยซูจากการถูกตรึงไม้กางเขน ซึ่งเป็นเส้นทางที่พระเยซูถูกไต่สวนที่ศาลปรีโทเรีย จนถูกบังคับให้แบกไม้กางเขนไปสู่โกลโกธา (Korakotha Mountain) และตรึงพระองค์ไว้บนไม้กางเขน ตามเส้นทางทั้งหมด 14 แห่ง จากนั้นนำท่านชม สุสานศักดิ์สิทธิ์ (Church of The Holy Sepulcher) ซึ่งในปัจจุบันเป็นโบสถ์ในศาสนาคริสต์ เป็นอุโมงค์ที่สกัดไว้ในศิลาที่ใช้เก็บพระศพของพระเยซูหลังจากเชิญพระศพลงมาจากไม้กางเขน ให้ท่านเดินทางเพื่อบรรลุถึงความทุกข์ทรมานของพระผู้เป็นเจ้า ถนนแห่งประวัติศาตร์นี้มีการค้นพบทางโบราณคดีตลอดหลายศตวรรษ
ค่ำ
รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร
ที่พัก
นำท่านเดินทางเข้าสู่ที่พัก LEONARDO JERUSALEM หรือเทียบเท่า

เช้า
รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารโรงแรม


นำท่านเดินทางสู่เมืองเทล อาวีฟ (Tel Aviv) ซึ่งเป็นเมืองหลวงและเป็นเมืองใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ของประเทศอิสราเอล มีประชากรอาศัยอยุ่ประมาณ 405,000 คน ตั้งอยู่ริมฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เป็นเมืองศูนย์กลางการค้า เศรษฐกิจ พาณิชย์และการท่องเที่ยว เมืองเทลอาวีฟ ยังมีอีกชื่อนึงว่า เทล อาวีฟ-จัฟฟา เมืองนี้ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1909 บนเขตพื้นที่รอบนอกของเมืองท่าโบราณจัฟฟา (Jaffa) ความเจริญของเทลอาวีฟได้ก้าวไปไกลกว่าเมืองจัฟฟาที่ในตอนนั้นเป็นของอาหรับอยู่ จนเทลอาวีฟและจัฟฟาถูกรวมเป็นเมืองเดียวกันในปี ค.ศ. 1950 สองปีหลังจากการก่อตั้งรัฐอิสราเอล นครสีขาวแห่งเทลอาวีฟได้รับการขึ้นเป็นมรดกโลกในปี 2003 ถือเป็นการรวมกลุ่มอาคารสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
กลางวัน
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารอาหารพื้นเมือง
บ่าย
นำท่านชมเมืองเก่าจัฟฟา ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเมืองท่าที่เก่าแก่ อายุกว่า 3,000 ปี ชื่อเดิมของเมืองนี้คือ ยาโฟ (Yafo) ในภาษาฮิบรูว์ แปลว่า สวยงาม ในประวัติศาสตร์เมืองนี้ถูกครอบครองมาหลายยุคหลายสมัยปัจจุบันรัฐอิสราเอลได้อนุรักษ์เมืองนี้ไว้ แล้วอนุญาตให้ศิลปิน พักอาศัย ทำงานสร้างสรรค์ และขายผลงานของตนเองแก่นักท่องเที่ยวที่มาเยือน ให้ท่านได้ชมหอนาฬิกา (The Clock Tower) ที่ตั้งอยู่ศูนย์กลางของเมือง จัฟฟา เป็น 1 ใน 7 ของหอนาฬิกาที่ถูกสร้างโดยพวกออตโตมานที่เข้ามาปกครองในบริเวณนี้ ถูกสร้างขึ้น โดยสุลต่านอับดุล ฮามิด ที่ 2 ในราวปี ค.ศ.1900-1903 ส่วนที่เหลืออีก 6 แห่ง คือที่ ซาเฟ็ด, เอเคอร์, นาซาเรธ, ไฮฟา, นาบลุส และเยรูซาเล็ม ซึ่งทั้งหมดได้เสียหมด บนหอนาฬิกาเรือนนี้ยังใช้งานได้ดี และที่ด้านบนจะมีแผ่นหินสลักเป็นที่ระลึกถึงการต่อสู้ดิ้นรนเพื่อให้เมืองนี้ในปี ค.ศ.1948
ค่ำ
รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารอาหารพื้นเมือง


ได้เวลาอันสมควรนำท่านเดินทางสู่สนามบิน
20.05 น.
ออกเดินทางกลับสู่กรุงเทพฯ โดยสายการบินแอล อัล อิสราเอลแอร์ไลน์ (LY) เที่ยวบินที่ LY 083
** คณะออกเดินทางวันที่ 11-17 ก.พ. 63 และ วันที่ 19-25 มี.ค. 63 ออกเดินทางเวลา 23.00 น. และ เดินทางถึงกรุงเทพฯ เวลา 15.00+1 เที่ยวบินที่ LY 081 **
** คณะออกเดินทางวันที่ 29 เม.ย. -05 พ.ค. 63 ออกเดินทางเวลา 22.45 น. และ เดินทางถึงกรุงเทพฯ เวลา 14.00+1 เที่ยวบินที่ LY 081 **

12.05 น.
ถึง สนามบินสุวรรณภูมิ กรุงเทพมหานคร ด้วยความสวัสดิภาพ

ช่วงเวลาการเดินทาง

เริ่มเดินทาง กลับจากเดินทาง สถานะ ผู้ใหญ่พักคู่ ผู้ใหญ่พักเดี่ยว ผู้ใหญ่พักสาม เด็กมีเตียง เด็กไม่มีเตียง
วันที่เดินทาง ราคา