โปรแกรม 3 วัน 2 คืน : เดินทางโดยสายการบินบางกอกแอร์เวย์
วันแรก กรุงเทพฯ-มัณฑะเลย์-สกายน์-เจดีย์เก๊ามูดอว์-อังวะ-นั่งรถม้าชมเมือง-สกายน์ฮิลล์ อาหาร (-/-/เย็น)
10.00 น.พร้อมกันที่ สนามบินสุวรรณภูมิ ชั้น 4 ประตู 4 เคาท์เตอร์ F สายการบินบางกอกแอร์เวย์ Bangkok Airway (PG)
12.05 น.ออกเดินทางสู่เมืองมัณฑะเลย์ โดยเที่ยวบิน PG 709 ** บริการอาหารบนเครื่อง**
หมายเหตุ.เนื่องจากตั๋วเครื่องบินของคณะเป็นตั๋วกรุ๊ประบบ Randomไม่สามารถล็อกที่นั่งได้ ที่นั่งอาจจะไม่ได้นั่งติดกันและไม่สามารถเลือกช่วงที่นั่งบนเครื่องบินได้ในคณะ ซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไขสายการบิน
13.25 น.เดินทางถึง สนามบินมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า ผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นำท่านเดินทางไปยังเมืองอังวะ นำเที่ยวชมเมืองอังวะอย่างเพลิดเพลิน ด้วยรถม้า ซึ่งอังวะเป็นราชธานีโบราณอีกแห่งหนึ่งของพม่า ชมประตูเมืองทางทิศเหนือที่เรียกว่า คาวเซตั่นคา เป็นประตูที่ปัจจุบันมีความสมบูรณ์ที่สุด และใช้เป็นประตูสำหรับทำพิธีสระผมในเทศกาล ติ่นจ่าน(สงกราณต์) ของชาวพม่า ชม Watch Tower (Nan Myint) หอคอยเมืองอังวะ เป็นส่วนหนึ่งของพระราชวัง เพื่อใช้ สังเกตการณ์ข้าศึก สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1822 หลังจากที่เกิดแผ่นดินไหวในปี ค.ศ.1838 หอแห่งนี้เกิดการเอียงตัว แต่ได้รับการบูรณะเป็นโครงสร้างเดิมนี้เป็นหนึ่งในรูปแบบสถาปัตยกรรมพม่าในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ชม Maha Aungmye Bonzan วัดมหาอ่องเหม่ บอนซาน สร้างโดยพระนางเมนุมเหสีในพระเจ้าบาจีด่อ จากนั้นชม Barayar Monastery สร้างโดย พระเจ้าบายีดอ ปี ค.ศ.1834 ไม้สักที่มีขนาดใหญ่ สวยงามได้ซุ้มประตู บานประตูหรือหลังคา ซึ่งอาคารแห่งนี้มีเสาไม้สักรองรับน้ำหนักอยู่ถึง 267 ต้น
จากนั้นเดินทางสู่เมืองสกายน์ ศูนย์กลางแห่งพระพุทธศาสนาที่สำคัญ ท่านจะได้ชมทัศนียภาพของเมืองสกายน์ ลุ่มแม่น้ำอิระวดี เจดีย์จำนวนมากมายที่ตั้งเรียงรายอยู่บนภูเขา และริมฝั่งแม่น้ำ ประมานพุทธศตวรรษที่ 19 มีเจ้าเชื้อสายไทยใหญ่เมืองสกายน์ นาม สอยุน รวบรวมผู้คนแล้วตั้งตนเป็นกษัติย์อยู่ที่เมืองสกายน์ หรือสะแกงที่ตั้งปัจจุบันอยู่ใหล้เนินเขาบนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำอิรวดี ห่างจากมัณฑะเลย์ไปทางทิศใต้ประมาณ 10 กิโลเมตร สกายน์เป็นราชธานีได้เพียง 59 ปี ภายหลังเกิดการชิงอำนาจกัน สุดท้ายพระเจ้าโดะมินพญา ได้รับชัยชนะจึงย้านเมืองหลวงใหม่มาตั้งที่ปากแม่น้ำมิดแง ตรงที่บรรจบกับแม่น้ำอิรวดี จนเป็นที่ตั้งของเมืองอังวะในเวลาต่อมา จากนั้นชมเจดีย์กวงมูดอร์ หรือวัดเจดีย์นมนาง สร้างโดยพระเจ้าต้าหลู่ เมื่อปี ค.ศ.1636 เพื่อใช้เป็นที่ประดิษฐานพระเขี้ยวแก้วหรือพระทันตธาตุที่ได้มาจากลังกา เจดีย์นี้เป็นเจดีย์ทรงโอคว่ำแบบสิงหล หรือเจดีย์ทรงลังกา มีตำนานเล่าว่าองค์ระฆังทรงกลมผ่าครึ่งซีกนี้ ได้ต้นแบบมาจากถัน พระชายาคนโปรดของพระเจ้าต้าหลู่ องค์เจดีย์มีความสูง 46 เมตร เส้นรอบวงวัดได้ 274 เมตร และใช้อิฐในการก่อสร้างมากถึง 10,126,552 ก้อน แล้วชม Umin Thonse` Pagoda or 30 Caves Pagoda เจดีย์อูมินทงแส่ ภายในมีพระพุทธรูป 45 องค์ประดิษฐานเรียงกันเป็นครึ่งวงกล จากนั้นขึ้นเขาสกายน์ เป็นภูเขาขนาดกลาง มีจุดชมวิวที่คุณสามารถมองเห็นเจดีย์ต่างๆ ที่วางตัวอยู่ตามไหล่เขา เพื่อจะได้ทำความรู้จักกับเมืองสกายน์ให้มากขึ้น เพราะไม่ว่าจะมองจากมุมไหนของด้านบน สิ่งที่เห็นได้คือ กลุ่มเจดีย์ต่างๆ ที่กระจายตัวอยู่โดยรอบ มองเรื่อยไปจนสุด ถึงแม่น้ำอิระวดี แม่น้ำสายหลักของเมืองนี้ ที่ยังคงทำหน้าที่ เลี้ยงผู้คนริมลำน้ำได้อย่างดี ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน เชิญถ่ายภาพไว้เป็นที่ระลึก ตามอัธยาศัย ได้เวลาสมควรเดินทางกลับมัณฑะเลย์
*นำท่านเข้าสู่ที่พัก โรงแรมระดับ 3 ดาว **โรงแรมระดับ 3 ดาวHOTEL YI LINK MANDALAY หรือเทียบเท่า
ค่ำบริการอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร
วันที่สอง พระราชวังมัณฑะเลย์-พระราชวังไม้สักชเวนานจอง-วัดกุโสดอ-มิงกุน-ระฆังมิงกุน-เจดีย์มิงกุน-ทัชมาฮาล (เช้า/กลางวัน/เย็น)
07.00 น.
รับประทานอาหารเช้า ที่ห้องอาหารของโรงแรม
นำท่านชมพระราชวังมัณฑะเลย์ (Mandalay Palace) พระราชวังที่ส่วนใหญ่ก่อสร้าง
ด้วยไม้สักที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของเอเชีย ในสมัยสงครามมหาเอเชียบูรพา หรือ สงคราม
โลกครั้งที่ 2 วันที่ 20 มีนาคม 2488 เครื่องบินฝ่ายสัมพันธมิตรโดยกองทัพอังกฤษ
ได้ทิ้งระเบิดจำนวนมากมายถล่มพระราชวังมัณฑะเลย์ของพม่า ด้วยเหตุผลว่าพระราชวัง
นี้เป็นแหล่งซ่องสุมกำลังของกองทัพญี่ปุ่น พระราชวังมัณฑะเลย์ซึ่งเป็นพระราชวังไม้สักก็ถูก
ไฟไหม้เผาราบเป็นหน้ากลองหลงเหลือก็แต่ป้อมปราการและคูนํ้ารอบพระราชวังที่ยังเป็นของดั่งเดิมอยู่ปัจจุปันพระราชวังที่เห็นอยู่เป็นพระราชวังที่รัฐบาลพม่าได้จำลองรูปแบบของพระราชวังของเก่าขึ้นมา
จากนั้นนำท่านไป พระราชวังไม้สักชเวนานจอง (Golden Palace Monastry) วังที่สร้างด้วย ไม้สักทั้งหลัง งดงามตามแบบศิลปะพม่าแท้ๆ วิจิตรตระการด้วยลวดลายแกะสลักประณีต อ่อนช้อย ทั้งหลังคา บานประตูและหน้าต่าง โดยเน้นรายละเอียดเกี่ยวกับพุทธประวัติและ ทศชาติของพระพุทธเจ้า สร้างโดยพระเจ้ามินดงในปี พ.ศ. 2400 ซึ่งเป็นปีที่พระองค์ย้าย ราชธานีจากอมรปุระมาอยู่ที่เมืองมัณฑะเลย์เพื่อเป็นตำหนักยามแปรพระราชฐาน แต่ หลังจากที่พระองค์สิ้นพระชนม์ พระเจ้าธีบอ หรือ สีป่อ พระโอรสก็ทรงยกวังนี้ถวายเป็น วัดถือได้ว่าเป็นงานฝีมือที่ประณีตของช่างหลวงชาวมัณฑะเลย์อย่างแท้จริง นำท่านชม วัดกุโสดอ (Kuthodaw Pagoda) ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นสถานที่ทำการ สังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 5 มีแผ่นศิลาจารึกพระไตรปิฎกทั้งหมด 84,000 พระธรรมขันธ์ และหนังสือกินเนสบุ๊คได้บันทึกไว้ว่า “หนังสือที่ใหญ่ที่สุดในโลก”
12.00 น.บริการอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร
จากนั้น นำท่านสู่ เมืองมิงกุน โดยการล่องเรือไปตามแม่น้ำอิระวดีสู่มิงกุน จากท่าเรือใกล้เจดีย์ชเวไจยัต เขตเมืองอมรปุระ ทวนน้ำไป หมู่บ้านมิงกุน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอมรปุระ แต่อยู่ บนเกาะกลางลำน้ำอิรวดีและไปได้ด้วยเส้นทางเรือเท่านั้นทว่ามีอนุสรณ์สถานที่แสดงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าปดุง ระหว่างทางจะได้เห็นหมู่บ้านอิรวดีที่มีลักษณะเป็น“กึ่งบ้านกึ่งแพ” เนื่องจากระดับน้ำอิรวดีในแต่ละฤดูกาลจะมีความแตกต่างกันมาก โดยเฉพาะฤดูน้ำหลากระดับน้ำจะขึ้นสูงกว่าฤดูแล้วกว่า 10 เมตร ชาวพม่าจึงนิยมสร้างบ้านกึ่งแพ คือถ้าน้ำขึ้นสูงก็ร่วมแรงกันยกบ้านขึ้นที่ดอนครั้นน้ำลงมากก็ยกบ้านมาตั้งใกล้น้ำเพื่อความสะดวกสบายในการใช้แม่น้ำในชีวิตประจำวัน นำท่านชม เจดีย์มิงกุน ร่องรอยแห่งความทะเยอทะยานของพระเจ้าปดุง ด้วยภายหลังทรงเคลื่อนทัพไปตียะไข่ แล้วสามารถชะลอพระมหามัยมุนีมาประดิษฐานที่มัณฑะเลย์เป็นผลสำเร็จ จึงทรงฮึกเหิมที่จะกระทำการใหญ่ขึ้นและยากขึ้น ด้วยการทำสงครามแผ่ขยายไปรอบด้านพร้อมกับเกณฑ์แรงงานข้าทาสจำนวนมากก่อสร้างเจดีย์มิงกุนหรือเจดีย์จักรพรรดิเพื่อประดิษฐานพระทันตธาตุที่ได้จากพระเจ้ากรุงจีนโดยทรงมุ่งหวังให้ยิ่งใหญ่เทียบเท่ามหาเจดีย์ในสมัยพุกามและใหญ่โตโอฬารยิ่งกว่าพระปฐมเจดีย์ในสยาม ซึ่งในเวลานั้นถือเป็นเจดีย์ที่สูงที่สุดในสุวรรณภูมิส่งผลให้ข้าทาสชาวยะไข่หรืออาระกันจำนวน 50,000 คนหลบหนีการขดขี่แรงงานไปอยู่ในเขตเบงกอล เป็นดินแดนในอาณัติของอังกฤษแล้วทำการซ่องสุมกำลังเป็นกองโจรลอบโจมตีกองทัพพม่าอยู่เนืองๆโดยพม่ากล่าวหาว่าอังกฤษหนุนหลังกลายเป็นฉนวนให้เกิดสงครามอังกฤษ-พม่าอันเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พม่าเสียเมืองในที่สุดอย่างไรก็ตาม งานก่อสร้างเจดีย์มิงกุนดำเนินไปได้เพียง7 ปี พระเจ้าปดุงเสด็จสวรรคต ภายหลังทรงพ่ายแพ้ไทยในสงครามเก้าทัพ มหาเจดีย์อันยิ่งใหญ่ในพระราชหฤทัยของพระองค์จึงปรากฏเพียงแค่ฐานทว่าใหญ่โตมหึมาดั่งภูเขาอิฐที่มีความมั่นคงถึง 50 เมตร ซึ่งหากสร้างเสร็จตามแผนจะเป็นเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดและสูงที่สุดในโลก เพราะสูงถึง 152 เมตร ส่วนรอยแตกร้าวตรงกลางฐานเกิดจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในปี ระฆังมิงกุนไม่ไกลจากฐานเจดีย์มิงกุนคือระฆังมิงกุนพระเจ้าปดุงโปรดฯให้สร้างโดยสำเร็จ เพื่ออุทิศทวายแด่มหาเจดีย์มิงกุนจึงต้องมีขนาดใหญ่คู่ควรกัน คือเป็นระฆังยักษ์ที่มีเส้นรอบวงถึง 10เมตร สูง 3.70 เมตร น้ำหนัก 87 ตันเล่าขานกันว่า พระเจ้าปดุงทรงไม่ต้องการให้มีใครสร้างระฆังเลียนแบบจึงรับสั่งให้ประหารชีวิตนายช่างทันทีที่สร้างเสร็จ ปัจจุบันถือเป็นระฆังยักษ์ ที่มีขนาดเล็กกว่าระฆังแห่งหนึ่งแห่งพระราชวังเครมลินในกรุงมอสโกเพียงใบเดียวทว่าระฆังเครมลินแตกร้าวไปแล้วชาวพม่าจึงภาคภูมิใจว่าระฆังมิงกุนเป็นระฆังยักษ์ที่ยังคงส่งเสียงก้อง กังวานทั้งนี้เคยมีการทดสอบความกว้างใหญ่ของระฆังใบนี้ โดยให้เด็กตัวเล็กๆไปยืนรวมกันอยู่ใต้ระฆังได้ถึง100 คน เจดีย์ชินพิวมิน (เมียะเต็งดาน) ประดิษฐานอยู่เหนือระฆังมิงกุนไม่ไกล ได้ชื่อว่าเป็นเจดีย์ที่สวยสง่ามากแห่งหนึ่งสร้างขึ้นในปี พ.ศ.2359 โดยพระเจ้าบากะยีดอว์ พระราชนัดดาในพระเจ้าปดุง เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งความรักที่พระองค์มีต่อพระมหาเทวีชินพิวมิน ซึ่งถึงแก่พิราลัยก่อนเวลาอันควร จึงได้รับสมญานามว่า “ทัชมาฮาลแห่งลุ่มอิรวดี” หลังจากนั้นเดินทางกลับมายังมัณฑะเลย์
19.00 น.บริการอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร เมนูพิเศษ กุ้งแม่น้ำเผา
*นำท่านเข้าสู่ที่พัก โรงแรมระดับ 3 ดาว ** โรงแรมระดับ 3 ดาวHOTEL YI LINK MANDALAY หรือเทียบเท่า
วันที่สาม ร่วมพิธีล้างหน้าพระพักตร์พระมหามัยมุณี-มัณฑะเลย์-อมรปุระ-สะพานไม้อูเบ็ง-วัดมหากันดายง-กรุงเทพฯ (เช้า/-/-)
04.00 น.จากนั้นนำท่านนมัสการ พระมหามัยมุนี อันเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุด 1 ใน 5 แห่งของพม่า ถือเป็นต้นแบบพระพุทธรูปทองคำขนาดใหญ่ทรงเครื่องกษัตริย์ที่ได้รับการขนานนามว่า “พระพุทธรูปทองคำเนื้อนิ่ม” ที่พระเจ้ากรุงยะไข่ทรงหล่อขึ้นที่เมืองธรรมวดี เมื่อปี พ.ศ. 689 สูง 12 ฟุต 7 นิ้ว หุ้มด้วยทองคำเปลวหนา 2 นิ้ว ทรงเครื่องประดับทองปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง 9 ฟุต ในปี พ.ศ. 2327 พระเจ้าปดุงได้สร้างวัดมหามุนี หรือวัดยะไข่ (วัดอาระกัน หรือวัดพยาจี) เพื่อประดิษฐานพระมหามัยมุนี และในปี พ.ศ.2422 สมัยพระเจ้า สีปอ ก่อน จะเสียเมืองพม่าให้อังกฤษได้เกิดไฟไหม้วัดทองคำ จึงทำให้ทองคำเปลวที่ปิดพระละลายเก็บเนื้อทองได้นํ้าหนักถึง 700 บาท ต่อมาในปี พ.ศ.2426 ชาวพม่าได้เรี่ยไรเงินเพื่อบูรณะวัดขึ้นใหม่มีขนาดใหญ่กว่าเดิมโดยสายการออกแบบของช่างชาวอิตาลีจึงนับได้ว่าเป็นวัดที่สร้างใหม่ที่สุดแต่ประดิษฐานพระพุทธรูปเก่าแก่ที่สุดในเมืองพม่า โดยรอบ ๆ ระเบียงเจดีย์ยังมีโบราณวัตถุที่นำไปจากกรุงศรีอยุธยาเมื่อครั้งกรุงแตกครั้งที่ 1 พร้อมทั้ง เชิญทุกท่านร่วมทำบุญบูรณวัดกุสินารา ซึ่งมีอายุหลายร้อยปี ประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์ สวยงามมากจากนั้นกลับโรงแรม
07.00 น.รับประทานอาหารเช้า ที่ห้องอาหารของโรงแรม นำท่านเดินทางเข้าสู่ตัวเมือง อมรปุระ (Amrapura) เมืองแห่งผู้เป็นอมตะซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของเมืองมัณฑะเลย์ซึ่งเป็นราชธานีเพียง 76 ปี แห่งหนึ่งของพม่าก่อนที่จะย้ายมายอยู่ที่เมืองมัณฑะเลย์ในปี พ.ศ.2400 จากนั้นนำท่านผ่านชมภูเขาสกายศูนย์กลางแห่งพระพุทธศาสนาที่สำคัญ ท่านจะได้ชมทัศนียภาพของเมืองสกาย ลุ่มแม่นํ้าอิระวดี เจดีย์ำนวนมากมายที่ตั้งเรียงรายอยู่บนภูเขา และริมฝั่งแม่นํ้า ชมสะพานไม้อูเบ็ง สะพานไม้ที่ยาวที่สุดในโลกโดยข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ชื่อว่าเสาอู เสาของสะพานใช้ไม้สักถึง1,208 ต้น ซึ่งมีอายุกว่า 200 ปีทอดข้าม ทะเลสาบคองตามัน (Toungthamon) ไปสู่วัดจอกตอจี ซึ่งมีเจดีย์ที่สร้างตามแบบวัดอนันดาแห่งพุกาม
จากนั้นนำท่านชมการตักบาตรพระสงฆ์ 1,400 รูป ณ วัดมหากันดายงค์ ซึ่งเป็นวัดใหญ่ที่ สุดของพม่าที่เมืองอมรปุระ ซึ่งในช่วงเพลจะมีภิกษุสงฆ์นับร้อยรูปเดินเรียงแถวด้วยอาการสำรวม ในทุกๆวันเวลา 10.30 น.จะมีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก มาร่วมชื่นชมการจัดเตรียมตักบาตร ถวายภัตตาหารเพลให้แก่พระสงฆ์ และเณรที่มาศึกษาพระธรรมวินัยที่วัดมหากันดายน ในเมืองมัณฑะเลย์ ที่นี่มีพระสงฆ์ และเณรจำวัดอยู่เกือบ 1,400 รูป
14.15 น.ออกเดินทางกลับกรุงเทพฯ โดยสายการบินบางกอกแอร์เวย์ เที่ยวบินที่ PG 710 ** บริการอาหารและเครื่องดื่มบนเครื่อง **
16.40 น.เดินทางถึงสนามบินสุวรรณภูมิ กรุงเทพฯโดยสวัสดิภาพ